ในสมัยก่อน ในอิตาลีนิยมชงกาแฟด้วยวิธีแบบ French Press และ Dip Coffee ซึ่งค่อนข้างจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการชงกาแฟ แต่มาไม่นานในปี 1933 อาคิลเล กาจเจีย (Achille Gaggia) ก็ได้พัฒนาเครื่องชงเอสเพรสโซแบบใช้ปั๊มแรงดันสูงเป็นผลสำเร็จ และได้กลายเป็นมาตรฐานของเอสเพรสโซที่ใช้กันทั่วโลก

กาแฟเอสเพรสโซ (Espresso) เป็นเมนูกาแฟที่ถูกขึ้นที่ประเทศอิตาลี เพื่อสนองความต้องการของผู้คนชาวอิตาลีที่ต้องการกาแฟที่รวดเร็วแต่ยังเข้มข้นและมีกลิ่นหอมชัดเจน

Espresso เป็นภาษาอิตาลีที่มาจากรากศัพท์ของคำว่า "Esprimere" ซึ่งแปลว่า "บีบคั้นให้ออก หรือกดให้ออก" หรือยังแปลว่า "เร่งด่วน (Express)" ได้อีกด้วย ซึ่งเกี่ยวพันกับกระบวนการทำกาแฟเอสเพรสโซก็คือ การชงกาแฟโดยใช้เครื่องชงกาแฟผ่านแรงดันไอน้ำความดันสูง เพื่อดึงรสชาติจากเมล็ดกาแฟให้มากที่สุดภายในช่วงเวลาประมาณ 25-30 วินาทีสำหรับ 1 ช็อต (30 มล.) กาแฟที่ได้จะเป็นน้ำกาแฟดำบริสุทธิ์ปราศจากการปรุงแต่ง มีความเข้มข้นและกลิ่นที่หอมอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด และกาแฟเอสเพรสโซที่ดี ต้องมีครีม่า (Creama) เป็นชั้นฟองกาแฟละเอียดสีน้ำตาลทองลอยอยู่ด้านบนสุดด้วยถึงจะอร่อยที่สุด และเป็นสัญลักษณ์ของเอสเพรสโซที่แท้จริง

เพราะรสชาติที่เข้มข้นและวิธีชงที่รวดเร็ว เอสเพรสโซจึงได้รับความนิยมไปทั่วโลกภายในเวลาที่รวดเร็ว และกลายเป็นเมนูยอดฮิตสำหรับมหาชนในที่สุด

กาแฟเอสเพรสโซ เมนูที่ดีต่อสุขภาพที่สุด

การดื่มกาแฟดำที่ปราศจากการเติมนมหรือน้ำตาล ถือว่าเป็นวิธีการดื่มกาแฟที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด เนื่องจากอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระค่อนข้างสูง ที่ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆในร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นสมองให้เรารู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ เสริมความจำระยะสั้นและลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

กาแฟดำยังช่วยลดควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและเสริมความไวให้กับอินซูลิน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคเบาหวาน คลอเลสเตอรอล โรคตับแข็งและไขมันพอกตับ

อย่างไรก็ดี ควรดื่มกาแฟในแต่ละวันในปริมาณที่เหมาะสม คือไม่เกิน 3-4 แก้วต่อวัน เพราะถ้าหากดื่มมากไป หัวใจอาจจะสั่นหรือเต้นเร็ว กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ

และด้วยที่กาแฟดำไม่มีการผสมนมหรือน้ำตาลการดื่มกาแฟดำจึงค่อนข้างเป็นเมนูที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก

วิธีชงกาแฟเอสเพรสโซให้อร่อยที่สุด

กาแฟเอสเพรสโซที่อร่อยต้องมีรสชาติที่เข้มข้ม กลมกล่อม มีรสชาติของกาแฟชัดเจน และที่สำคัญต้องมีฟองครีม่าสีน้ำตาลทองลอยอยู่ชั้นบน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยคือ การเลือกเมล็ดกาแฟ การบดเมล็ด เครื่องอัดความดันไอน้ำ แรงดัน อุณหภูมิ และเทคนิคการสกัด ที่พอจะสรุปได้ดังนี้

1. การเลือกเมล็ด

เมล็ดกาแฟที่นำมาใช้ต้องเป็นเมล็ดกาแฟที่คั่วมาสดใหม่ไม่เกิน 3- 4 อาทิตย์ หากต้องการกาแฟที่มีรสชาติที่รสละมุน แนะนำให้เลือกเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 100% (Arabica) แต่หากชอบรสชาติที่ออกขมนิดๆ แนะนำให้ผสมกับกาแฟโรบัสต้า (Robusta) สักนิด และแนะนำให้ใช้เมล็ดแบบระดับคั่วกลางหรือคั่วกลาง

2. การบดกาแฟ

เรื่องเครื่องบดกาแฟคุณภาพดีที่จะทำให้ผงกาแฟบดที่มีขนาดสม่ำเสมอ กาแฟที่บดแล้วควรจะมีขนาดปานกลางถึงละเอียดมากคล้ายๆน้ำตาลทรายละเอียด (ค่ามาตราฐานการบดคือ 15-20ไมครอน) ถ้าบดหยาบเกินไปน้ำร้อนจะไหลเร็วทำให้กาแฟจืดและไม่มีบอดี้ แต่ถ้าบดละเอียดเกินไปน้ำจะไหลช้าทำให้กาแฟมีรสขมไหม้ได้

3. เตรียมน้ำในอัตราส่วนที่เหมาะสม (Brew Ratio)

เพื่อให้ได้รสชาติที่คงที่และแม่นยำ ให้ใช้เครื่องดิจิตอลชั่งผงกาแฟที่บดแล้วให้ถูกต้อง โดยมีมาตราฐานน้ำกับผงกาแฟดีเหมาะสมดังนี้

⦁ Sigle Shot: ผงกาแฟ 7-9 กรัม ใช้น้ำ 25-30มล

⦁ Double Shotซ ผงกาแฟ 14-18 กรัม ใช้น้ำ 50-60มล

4. เตรียมเครื่องชงกาแฟ

แรงดันที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 9 บาร์ อุณหภูมิ 90-93°C  ใช้เวลาสกัด 25-30 วินาที และที่สำคัญ น้ำต้องเป็นน้ำกรองปราศจากคลอรีน

5. แทมป์กาแฟ

ใส่ผงกาแฟที่บดแล้วลงในตัวแทมป์กาแฟ (Tamping) แล้วออกแรงกดประมาณ 15-30ปอนด์ ให้แน่นและสม่ำเสมอ พื้นผิวต้องเรียบ ไม่เอียง เพื่อให้น้ำร้อนสามารถไหลผ่านได้อย่างสม่ำเสมอ

6. สกัดกาแฟ

หลังจากใส่ก้านชงกาแฟไปที่เครื่องแล้ว ต้องรีบสกัดภายใน 5 วินาที่เพื่อป้องกันกาแฟไหม้ หากรู้สึกว่ากาแฟไหลเร็วเกินไปก็ต้องปรับเครื่องบดให้ละเอียดขึ้น แต่หากน้ำไหลช้าก็ปรับเครื่องบดให้บดให้หยาบขึ้น

7. เช็คครีม่าว่าสมบูรณ์หรือไม่

บนชั้นบนของกาแฟควรจะมีครีมม่าเป็นฟองเนียนละเอียดสีน้ำตาลทองเข้ม หากครีม่าแตกตัวเร็วถือว่าการสกัดไม่สมบูรณ์

8. วิธีดื่มกาแฟให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด

คนกาแฟเบาเพื่อให้เนื้อกาแฟและครีม่าค่อยๆเคล้ากันไป แล้วจิบเล็กและกลั้วในปากนิดๆเพื่อให้ลิ้นได้รับรสชาติอย่างเต็มที่ที่สุด หากต้องการรสชาติที่นิ่มนวลขึ้นนิด ก็เติมน้ำตาลลงไปได้สักนิดหน่อย