การเก็บเกี่ยวเม็ดกาแฟเป็นขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของกาแฟ วิธีการเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สายพันธุ์กาแฟ สภาพอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ และต้นทุนแรงงาน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นการเก็บเกี่ยวด้วยมือและการเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักร
การเก็บเกี่ยวด้วยมือเหมาะสำหรับกาแฟพรีเมียมและพื้นที่ภูเขาที่เครื่องจักรเข้าไม่ถึง มีสองวิธีหลักคือการเลือกเก็บเฉพาะผลที่สุกสมบูรณ์และการเก็บทั้งกิ่งในครั้งเดียว วิธีแรกเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตกาแฟคุณภาพสูง เนื่องจากช่วยให้ได้เมล็ดที่สุกเต็มที่และมีรสชาติดีที่สุด อย่างไรก็ตามต้องใช้แรงงานจำนวนมากและใช้เวลานานเพราะต้องเก็บหลายรอบ วิธีที่สองสามารถลดเวลาการเก็บเกี่ยวได้มากแต่ทำให้มีเมล็ดดิบปะปนมาด้วย
การเก็บเกี่ยวด้วยเครื่องจักรเป็นวิธีที่ใช้ในฟาร์มขนาดใหญ่ที่ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเร็วในการเก็บเกี่ยว เครื่องจักรสามารถสั่นต้นกาแฟหรือใช้แปรงหมุนกวาดเมล็ดลงถังเก็บได้อย่างรวดเร็ว แต่เมล็ดที่ได้มักไม่สม่ำเสมอเพราะอาจมีทั้งเมล็ดดิบและเมล็ดสุกปะปนกัน ทำให้ต้องใช้กระบวนการคัดแยกเพิ่มเติม
การเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายของผู้ผลิต หากต้องการกาแฟคุณภาพสูงควรเลือกเก็บด้วยมือแบบคัดเฉพาะเมล็ดที่สุกสมบูรณ์ หากต้องการลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อรอบการเก็บเกี่ยว เครื่องจักรอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า ไม่ว่าจะใช้วิธีใด การคัดแยกเมล็ดที่มีคุณภาพหลังเก็บเกี่ยวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดีที่สุด
หลังจากเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟแล้ว ขั้นตอนสำคัญที่ส่งผลต่อรสชาติและคุณภาพของกาแฟคือกระบวนการแปรรูป ซึ่งมีวิธีหลัก ๆ ได้แก่
การแปรรูปแบบแห้ง (Dry Process หรือ Natural Process) เป็นวิธีที่เก่าแก่และใช้กันมากในประเทศที่มีสภาพอากาศแห้ง เช่น บราซิลและเอธิโอเปีย โดยเริ่มจากการคัดแยกผลเชอรี่ที่เสียหายด้วยการแช่น้ำเพื่อตรวจสอบว่ามีผลกาแฟลอยน้ำหรือไม่ จากนั้นนำผลเชอรี่ที่ดีไปตากแห้งบนลานตากหรือแผ่นตาข่ายในที่ที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ พร้อมกับการกลับด้านเมล็ดอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อราและการหมักที่ไม่พึงประสงค์ ระยะเวลาในการตากอยู่ที่ประมาณสองถึงหกสัปดาห์ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ เมื่อตากแห้งจนเปลือกแข็ง เมล็ดจะถูกนำไปกระเทาะเปลือกเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่เรียกว่า Parchment Coffee ก่อนนำไปคัดแยกคุณภาพและเก็บรักษาเพื่อเตรียมส่งออก วิธีนี้ช่วยให้กาแฟมีรสชาติหวานและมีความเป็นผลไม้อ่อน ๆ โดยใช้ทรัพยากรน้ำน้อยและมีต้นทุนต่ำ แต่ต้องการการดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันเชื้อราและการหมักที่ไม่พึงประสงค์
การแปรรูปแบบเปียก (Wet Process หรือ Washed Process) เป็นวิธีที่ใช้น้ำมากและได้รับความนิยมในประเทศที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เช่น โคลอมเบียและเคนยา ขั้นตอนเริ่มจากการคัดแยกผลเชอรี่ที่สมบูรณ์ด้วยการแช่น้ำก่อนนำไปผ่านเครื่องกระเทาะเปลือกเพื่อแยกเมล็ดออกจากเนื้อผลกาแฟ เมล็ดที่ยังมีเมือกติดอยู่จะถูกนำไปหมักในน้ำเป็นเวลาประมาณสิบสองถึงสี่สิบแปดชั่วโมงเพื่อให้เอนไซม์ย่อยสลายเมือกออก จากนั้นจึงล้างเมล็ดให้สะอาดแล้วนำไปตากแดดหรือตากด้วยเครื่องอบแห้งจนได้ระดับความชื้นที่เหมาะสม หลังจากนั้นจึงทำการกระเทาะเปลือกชั้นในเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่พร้อมสำหรับการคั่ว วิธีนี้ช่วยให้กาแฟมีรสชาติที่สะอาด สดชื่น และมีความเป็นกรดที่สมดุล สามารถควบคุมคุณภาพของเมล็ดได้ง่าย แต่มีต้นทุนสูงเนื่องจากต้องใช้น้ำจำนวนมากและต้องการอุปกรณ์เฉพาะทาง
การแปรรูปแบบกึ่งเปียก (Honey Process) เป็นการผสมผสานระหว่างวิธีเปียกและแห้งที่มีต้นกำเนิดจากคอสตาริกา ขั้นตอนเริ่มจากการคัดแยกผลเชอรี่ที่สมบูรณ์และกระเทาะเปลือกออกแต่ไม่ล้างเมือกออกทั้งหมด จากนั้นนำเมล็ดที่ยังมีเมือกติดอยู่ไปตากแห้ง ซึ่งสามารถแบ่งเป็นระดับความหวานของเมือกที่เหลือติดอยู่ เช่น Yellow Honey ที่ตากให้แห้งเร็ว Red Honey ที่ตากนานขึ้นเพื่อให้ได้รสหวานมากขึ้น และ Black Honey ที่ใช้เวลาตากนานที่สุดจนได้รสชาติที่เข้มข้น วิธีนี้ช่วยให้กาแฟมีรสหวานและมีบอดี้มากกว่ากาแฟแปรรูปแบบเปียก อีกทั้งยังใช้น้ำน้อยกว่าการแปรรูปแบบเปียก แต่ต้องการการควบคุมความชื้นและการตากอย่างแม่นยำเพื่อป้องกันเชื้อรา
การแปรรูปแบบเปียกเชิงกล (Wet Hulled หรือ Giling Basah) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในเกาะสุมาตรา ขั้นตอนเริ่มจากการคัดแยกผลเชอรี่และกระเทาะเปลือกออกเหมือนกับวิธีเปียกทั่วไป แต่เมล็ดจะถูกตากแค่จนมีความชื้นประมาณสามสิบถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงนำไปกระเทาะเปลือกชั้นในในขณะที่ยังมีความชื้นสูงอยู่ และตากต่อจนแห้งสนิท วิธีนี้ทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ให้รสชาติเข้มข้น หนักแน่น และเหมาะกับพื้นที่ที่มีความชื้นสูงและฝนตกบ่อย อย่างไรก็ตาม เมล็ดกาแฟที่ได้อาจไม่สม่ำเสมอ และต้องใช้เทคนิคพิเศษในการคั่วเพื่อดึงรสชาติที่ดีที่สุดออกมา
การแปรรูปกาแฟแต่ละประเภทส่งผลต่อรสชาติที่แตกต่างกันไป โดยการแปรรูปแบบแห้งให้รสหวานและกลิ่นผลไม้ การแปรรูปแบบเปียกให้รสชาติสะอาดและสดชื่น การแปรรูปแบบกึ่งเปียกให้รสหวานและบอดี้ที่หนักขึ้น ส่วนการแปรรูปแบบเปียกเชิงกลให้รสชาติเข้มข้นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
หลังจากเมล็ดกาแฟผ่านกระบวนการแปรรูปแล้ว จะต้องทำให้แห้งจนกว่าความชื้นจะลดลงเหลือประมาณ 10-12% เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและคงคุณภาพของเมล็ดกาแฟ วิธีการทำให้แห้งสามารถทำได้โดยการตากแดดหรือการอบแห้งด้วยเครื่องจักร
การตากแดดเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยอาจตากบนลานคอนกรีต พื้นดินที่อัดแน่น หรือบนแคร่ไม้ที่ยกสูงจากพื้นเพื่อช่วยในการระบายอากาศ เมล็ดกาแฟจะถูกกระจายเป็นชั้นบาง ๆ และต้องมีการกลับเมล็ดอย่างสม่ำเสมอทุก 30-60 นาที เพื่อให้แห้งอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 7-21 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ในบางพื้นที่ที่มีความชื้นสูง อาจมีการใช้เรือนกระจกหรือพลาสติกคลุมเพื่อลดความเสี่ยงของฝนและฝุ่นละออง
การอบแห้งด้วยเครื่องจักรเป็นทางเลือกที่ช่วยเร่งกระบวนการและควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น โดยโรงงานขนาดใหญ่จะใช้เครื่องอบแห้งแบบหมุนหรือเครื่องอบแนวตั้ง ซึ่งใช้ลมร้อนที่อุณหภูมิ 40-60°C เพื่อลดระดับความชื้นลงภายใน 24-48 ชั่วโมง วิธีนี้เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแปรปรวน และช่วยลดการเสียหายของเมล็ดกาแฟจากเชื้อราและความชื้นสะสม
การควบคุมคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการทำให้แห้ง ต้องมีการวัดระดับความชื้นของเมล็ดกาแฟอยู่เสมอเพื่อให้แน่ใจว่าเมล็ดไม่แห้งเกินไปหรือน้อยเกินไป เมล็ดที่มีความชื้นสูงจะเกิดเชื้อราได้ง่าย ในขณะที่เมล็ดที่แห้งเกินไปอาจสูญเสียรสชาติและแตกหักง่าย เมื่อทำให้แห้งจนได้ระดับความชื้นที่เหมาะสมแล้ว เมล็ดกาแฟจะถูกนำไปเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมความชื้นและอุณหภูมิ เพื่อรักษาคุณภาพของเมล็ดกาแฟก่อนนำไปคั่ว
การคั่วเมล็ดกาแฟเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการกำหนดรสชาติ กลิ่น และเอกลักษณ์ของกาแฟ เมล็ดกาแฟดิบที่ยังไม่ผ่านการคั่วจะมีสีเขียวและไม่มีกลิ่นหอมของกาแฟ เมื่อถูกให้ความร้อน น้ำและน้ำมันภายในเมล็ดจะเริ่มเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้เกิดสารประกอบที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลต่อรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
กระบวนการคั่วเริ่มต้นด้วยการทำให้เมล็ดกาแฟแห้งจากความชื้นที่เหลืออยู่ประมาณ 10-12% เมื่ออุณหภูมิภายในเมล็ดสูงขึ้นจะเกิดกระบวนการ Maillard Reaction ซึ่งเป็นปฏิกิริยาระหว่างกรดอะมิโนและน้ำตาล ทำให้เมล็ดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและสร้างกลิ่นหอมเฉพาะตัว จากนั้นจะเกิด First Crack ซึ่งเป็นเสียงแตกของเมล็ดกาแฟที่บ่งบอกว่ากระบวนการคั่วเริ่มเข้าสู่ช่วงที่เมล็ดพัฒนาเป็นกาแฟคั่วที่พร้อมใช้งาน
ระดับการคั่วสามารถแบ่งออกได้หลายช่วง ตั้งแต่ คั่วอ่อน (Light Roast) ซึ่งใช้เวลาและอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ไปจนถึง คั่วเข้ม (Dark Roast) ซึ่งให้รสชาติที่หนักแน่นขึ้น
ในระดับ คั่วอ่อน (Light Roast) อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 180-200°C เมล็ดยังคงสีค่อนข้างอ่อน มีความเป็นกรดสูง รสชาติออกแนวผลไม้ ดอกไม้ และมีความสดชื่นสูง นิยมใช้กับกาแฟที่ต้องการแสดงเอกลักษณ์ของแหล่งปลูก เช่น กาแฟจากแอฟริกาหรืออเมริกาใต้
ในระดับ คั่วกลาง (Medium Roast) อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 200-215°C สีของเมล็ดจะเข้มขึ้นเล็กน้อย ความเป็นกรดลดลง และรสชาติสมดุลมากขึ้น ให้ความหวานคล้ายคาราเมล มีบอดี้ปานกลาง และยังคงมีกลิ่นหอมของผลไม้แต่ไม่โดดเด่นเท่าการคั่วอ่อน เป็นระดับที่นิยมใช้มากที่สุดในกาแฟที่ขายทั่วไป
ในระดับ คั่วเข้ม (Dark Roast) อุณหภูมิสูงถึง 215-240°C เมล็ดกาแฟมีสีเข้มถึงดำ น้ำมันเริ่มเคลือบผิวเมล็ด รสชาติขมเข้มมากขึ้น ความเป็นกรดลดลงจนแทบไม่มี และให้กลิ่นของช็อกโกแลต คาราเมล หรือถ่านไม้ ระดับนี้เหมาะกับกาแฟที่ต้องการรสชาติหนักแน่น เช่น เอสเพรสโซ
กระบวนการคั่วต้องอาศัยความชำนาญสูง เนื่องจากหากคั่วสั้นเกินไป เมล็ดจะมีรสฝาดและยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่หากคั่วนานเกินไป เมล็ดอาจไหม้และทำให้รสชาติกาแฟขมจนเสียสมดุล ดังนั้น ผู้คั่วกาแฟต้องควบคุมอุณหภูมิและระยะเวลาคั่วให้เหมาะสมกับโปรไฟล์รสชาติที่ต้องการ เพื่อให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นและรสชาติที่ดีที่สุด
การบดและการชงกาแฟเป็นกระบวนการที่สำคัญในการดึงรสชาติจากเมล็ดกาแฟและส่งมอบประสบการณ์การดื่มที่ดีที่สุด การบดเมล็ดกาแฟเป็นขั้นตอนแรกที่มีผลต่อรสชาติ เนื่องจากขนาดของผงกาแฟที่ได้จากการบดจะส่งผลต่อการสัมผัสรสชาติและกลิ่นในระหว่างการชง หากบดไม่ละเอียดหรือบดละเอียดเกินไป อาจส่งผลให้รสชาติกาแฟมีความขมมากเกินไปหรือมีรสจืดไร้รสชาติได้
เมื่อบดกาแฟเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการชง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวิธีการชงที่ใช้ เช่น French Press, Drip Coffee หรือ Espresso แต่ละวิธีมีลักษณะการบดที่เหมาะสมและวิธีการชงที่แตกต่างกัน
สำหรับ French Press จะต้องการการบดกาแฟที่มีความหยาบ ผงกาแฟที่บดหยาบจะช่วยให้กาแฟสามารถขยายตัวและกลิ่นหอมถูกปลดปล่อยออกมาได้ดีขึ้นในการชง วิธีการนี้จะใช้เวลาในการชงที่ยาวนานขึ้น เพื่อให้ได้รสชาติที่เต็มกลิ่นและนุ่มนวล โดยน้ำร้อนจะต้องสัมผัสกับผงกาแฟในระยะเวลาที่พอเหมาะ เพื่อดึงรสชาติออกมาอย่างสมดุล
สำหรับ Drip Coffee หรือกาแฟหยด การบดควรมีความละเอียดปานกลาง การบดที่ละเอียดเกินไปจะทำให้กาแฟขม และการบดที่หยาบเกินไปจะทำให้รสชาติอ่อนและน้ำกาแฟไหลออกเร็วเกินไป การบดปานกลางเหมาะสมกับวิธีการหยดเพราะจะช่วยให้น้ำร้อนไหลผ่านผงกาแฟได้อย่างช้าๆ และดึงรสชาติที่เหมาะสมออกมาได้ดี
สำหรับ Espresso การบดจะต้องละเอียดมากกว่าการบดสำหรับวิธีอื่น เนื่องจากการทำ Espresso ใช้แรงดันสูงในการดึงน้ำผ่านผงกาแฟที่บดละเอียด ผงกาแฟที่ละเอียดจะช่วยให้เกิดการสกัดรสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นหอมออกมาได้เต็มที่ การบดที่ละเอียดเกินไปอาจทำให้การไหลของน้ำช้าลงหรือเกิดความขมมากเกินไป แต่หากบดหยาบเกินไปก็อาจทำให้กาแฟรสชาติอ่อนและขาดความเข้มข้น
การชงกาแฟในแต่ละวิธีจะต้องควบคุมปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น อุณหภูมิของน้ำ เวลาในการชง และความละเอียดของกาแฟ เพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด จากนั้นเมื่อน้ำร้อนสัมผัสกับผงกาแฟที่บดไว้ การสกัดรสชาติจะเริ่มต้น การแยกเอาสารประกอบที่มีรสชาติ เช่น กรด น้ำมัน และน้ำตาลในกาแฟออกมาจะทำให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นหอม รสชาติหวาน กลมกล่อม หรือขมขื่นตามแต่ประเภทของกาแฟและวิธีการชงที่เลือกใช้
ดังนั้นการบดและการชงกาแฟเป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ได้กาแฟที่มีรสชาติที่ดีที่สุดตามที่ต้องการ
หน้าแรก / สั่งซื้อสินค้า / วิธีชำระค่าสินค้า / บทความเกี่ยวกับกาแฟ / บทความอื่น / นโยบายความเป็นส่วนตัว / ติดต่อเรา
บจก. คอสติค อินเตอร์เนชั่นแนล
461/1-3 ซ.แก้วฟ้า ถ.สี่พระยา แขวงมหาพฤฒาราม เขต บางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
Line ID: @enxo